02 January 2010


ดวงจีน หรือที่เรียกว่า "โป๊ยหยี่สี่เถียว" ให้ความสำคัญกับพลังของ "5 ธาตุ" เป็นอย่างมาก ซึ่งพลัง 5 ธาตุเป็นรากฐานสำคัญของปรากฏการณ์สิ่งต่างๆ ของจักรวาล


พลัง 5 ธาตุประกอบด้วย


  1. ธาตุไฟ

  2. ธาตุดิน

  3. ธาตุทอง

  4. ธาตุน้ำ

  5. ธาตุไม้

นักปราชญ์จีนใช้หลักการอี้จิงในการวิเคราะห์ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทั้งในโลก ภูมิศาสตร์ และวิถีชีวิตของแต่ละคน คุณประโยชน์อันใหญ่หลวงของอี้จิงนี้เองจึงทำให้ผู้ที่ศึกษาจนกระทั่งเข้าใจในหลักวิชาได้อย่างลึกซึ้งจึงจะสามารถรู้ถึงความลับสวรรค์ สามารถกุมชะตาฟ้าและดินได้
ในระบบโหราศาสตร์จีนจะทั้งหมด 5 ธาตุคือธาตุดิน ธาตุทอง ธาตุน้ำ ธาตุไม้และธาตุไฟ ซึ่งในแต่ละธาตุก็จะ มีคุณสมบัติ และรูปพรรณสัณฐาน ที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ธาตุทั้ง5 ไม่ใช่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวเป็นเอกเทศ แต่ทว่าทั้ง 5 ธาตุนี้ล้วนมีความ สัมพันธ์ซึ่งกันและกันในหลากหลายลักษณะ ซึ่งความสัมพันธ์ของแต่ละธาตุนี้เองเป็นที่มาของคำพยากรณ์ที่แตกต่างกันไป

ปฏิกิริยา 5 ธาตุ
คำว่า 5 ธาตุที่ประกอบไปด้วยธาตุดิน ทอง น้ำ ไม้และไฟ เป็นลักษณะที่เป็นไปตามสภาพของธรรมชาติที่พบเห็นกันอยู่ทั่วไป ธาตุดินหมายถึงดินที่เป็นผืนดินบ้าง หรือนำดินมาใช้งานในประโยชน์ต่างๆเช่นทำอิฐ เซรามิค ธาตุทองมีความหมายถึงโลหะทั้งปวง ส่วนธาตุไม้ก็คือลักษณะของต้นไม้ที่ปรากฏในธรรมชาติ ธาตุไฟก็คือพลังงานที่ใช้ประโยชน์ในด้านแสงสว่างและให้พลังงาน ความสมดุลของ 5 ธาตุจึงคือความเหมาะสมและลงตัวที่ก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลกับชีวิตทั้งปวง
ความสมดุลของพลังธาตุทั้ง 5 ล้วนเกิดจากปฏิกิริยาที่สัมพันธ์กันของ 5 ธาตุ ซึ่งล้วนมีความสัมพันธ์ต่อกันในหลายรูปทั้งให้การก่อเกิด ถ่ายเท ข่มกันหรือเป็นคู่ธาตุ ดังนี้

การก่อเกิดของ 5 ธาตุ
- ธาตุดิน ให้กำเนิด ธาตุทอง เรียกธาตุดินว่าแม่และเรียกธาตุทองว่าลูก
- ธาตุทอง ให้กำเนิด ธาตุน้ำ เรียกธาตุทองว่าแม่และเรียกธาตุน้ำว่าลูก
- ธาตุน้ำ ให้กำเนิด ธาตุไม้ เรียกธาตุน้ำว่าแม่และเรียกธาตุไม้ว่าลูก
- ธาตุไม้ ให้กำเนิด ธาตุไฟ เรียกธาตุไม้ว่าแม่และเรียกธาตุไฟว่าลูก
- ธาตุไฟ ให้กำเนิด ธาตุดิน เรียกธาตุไฟว่าแม่และเรียกธาตุดินว่าลูก

การก่อเกิดกันของธาตุจะทำกันเป็นลูกโซ่ เช่น เมื่อเราใช้ “ไฟ” เผาสิ่งของอะไรก็ตาม สิ่งของดังกล่าวจะถูกเผาให้กลายเป็นดิน จึงเรียกไฟว่าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดธาตุดิน โดยตามธรรมชาติเมื่อเราจะขุดหาทรัพย์กรที่เป็นแร่โลหะตามธรรมชาติ เราจะต้องขุดหาจากในผืนดิน นี่เองจึงเรียกดินว่าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดธาตุทอง , ธาตุทองเมื่อโดนความร้อนก็จะอ่อนตัวกลายเป็นของเหลวลักษณะดังกล่าวของๆเหลวคือคุณลักษณะของธาตุน้ำ จึงเรียกทองว่าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดธาตุน้ำ เมื่อมีน้ำเราก็จะใช้น้ำในการรดต้นไม้ให้เจริญเติบโต จึงเรียกน้ำว่าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดธาตุไม้ และยามใดก็ตามที่เราจะต้องเผาไฟ เราจะต้องใช้ไม้เป็นเชื้อเพลิง จึงเรียกไม้ว่าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดธาตุไฟนั่นเอง



การพิฆาตของ 5 ธาตุ

ลักษณะของธาตุทั้ง 5 ล้วนมีความสัมพันธ์ในเชิงสร้างสรรค์และเป็นปฏิปักษ์ การเป็นปฏิปักษ์กันของแต่ละธาตุเรียกว่าการพิฆาตกัน ในความสัมพันธ์เช่นนี้ไม่ได้ชี้ขาดว่า ถ้าในดวงชะตาของผู้ใดที่มีธาตุพิฆาตกันจะเป็นดวงชะตาที่ไม่ดี แต่การใช้คำว่า “พิฆาตกัน” ของนักปราชญ์จีนเพื่อให้อธิบายถึงลักษณะสภาพธรรมชาติของแต่ละธาตุ ซึ่งแต่ละธาตุก็พิฆาตกันเป็นวัฏจักรดังนี้

- ธาตุดินพิฆาตธาตุน้ำ
- ธาตุน้ำพิฆาตธาตุไฟ
- ธาตุไฟพิฆาตธาตุทอง
- ธาตุทองพิฆาตธาตุไม้
- ธาตุไม้พิฆาตธาตุดิน

นิสัยของ 5 ธาตุ

ในดวงจีนมีการเอา "ปฏิกิริยาของ 5 ธาตุ" มาใช้อธิบายอาชีพ สุขภาพ และนิสัยใจคอ ต่อมาได้มีการนำเอานิสัยของคน 5 ธาตุมาปรับพัฒนาบุคลากร เพื่อประโยชน์ในการบริหาร นิสัยของคน 5 ธาตุมีดังนี้

ธาตุไม้ กระตือรือร้น ชอบแต่งตัว สวย ทันสมัย ใจบุญ จะมีเมตตา ทำความดี มีศักดิ์ศรี ใจบุญ ขี้สงสาร ขยัน มุ่งมั่นไปข้างหน้า
ถ้าธาตุไม้มากเกินไป จะแข็งกระด้าง ดื้อด้าน ยอมหักไม่ยอมงอ เอาความคิดตนเป็นใหญ่
ถ้าธาตุไม้น้อยเกินไป ขาดความแข็งแกร่ง อ่อนแอ ขี้อิจฉา ขาดเมตตาจิต

ธาตุไฟ ใจร้อน มีทิฐิ มีมารยาท นับถือผู้ใหญ่ ไม่รังแกลูกน้อง กระตือรือร้น มองโลกในแง่ดี มีมารยาท รักพวกพ้อง ตรงไปตรงมา โปร่งใส ใจกว้าง มีน้ำใจ ช่วยเหลือ
ถ้าธาตุไฟมากเกินไป (ตู่ธาตุมาก) จิตใจร้อน ขี้โมโห ลุยไม่รู้จักหยุด ยกตนข่มท่าน
ถ้าธาตุไฟน้อยเกินไป จะเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยม ขี้อิจฉา เริ่มต้นกระตือรือร้นทำ แต่หลังจากนั้นเบื่อเร็วและไม่ทำ

ธาตุดิน หนักแน่น ซื่อสัตย์กตัญญู ใจกว้าง ถ้อยทีถ้อยอาศัย มั่นคง สุขุม เป็นผู้ใหญ่ เชื่อใจได้ ปากกับใจตรงกัน เครดิตดี จะเดินสายกลาง
ถ้าธาตุดินมากเกินไป ดื้อด้าน โง่เขลา ชอบสบาย ขี้เกียจ
ถ้าธาตุดินน้อยเกินไป ปากกับใจไม่ตรงกัน ไม่มีเครคิต เห็นแก่ตัว ขี้เหนียว

ธาตุทอง แข็ง กระด้าง ยกย่อง ถ้ารักๆมาก ถ้าเกลียดๆมาก ยุติธรรม แตกหัก ใช้เหตุผล เด็ดขาด มือสะอาด
ถ้าธาตุทองมากเกินไป หูเบา ทะเลาะวิวาท กร้าวร้าว โหดเหี้ยม
ถ้าธาตุทองน้อยเกินไป ขาดความเด็ดขาด คิดแล้วคิดอีก ไม่มีศักดิ์ศรี

ธาตุน้ำ ฉลาด คล่องแคล่ว ไม่นิ่ง เดินทาง สังคม น้ำใจที่แท้จริง จะใจใหญ่ สมองแจ่มใส วางแผน ทำอะไรเป็นทุกอย่าง มีมนุษยสัมพันธ์ ความรู้สึกไว กามารมณ์สูง รู้ผิดถูก
ถ้าธาตุน้ำมากเกินไป เล่ห์เหลี่ยม คึกคัก ลุย เปลี่ยนใจง่าย
ถ้าธาตุน้ำน้อยเกินไป ใจไม่ถึง ขี้ขลาด ไม่มีอุบาย ใจแคบ




ที่มา: www.fs168.net โดยอาจารย์กิตติภพ ภักดียิ่งยง

ทิศของบ้านอยู่อาศัย


การกำหนดทิศหน้าหัน ทิศหลังพิง ของบ้านนั้น ถือเป็น "สิ่งที่สำคัญที่สุด" ในการพิจารณาฮวงจุ้ยของ อาคาร สถานที่หนึ่งๆ เพราะทิศทาง องศาของบ้าน หรือ อาคารนั้น เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญ ในการคำนวนหา "การหมุนเวียนของพลังชี่ภายในบ้าน" เพื่อระบุว่า แต่ละตำแหน่งภายในบ้าน มีพลังชี่ที่ดี หรือ มีพลังชี่ที่ร้ายอย่างไร

เมื่อรู้ว่าพลังชี่ที่ดีอยู่ตำแหน่งไหน ก็สามารถกำหนดให้เป็นตำแหน่ง ประตูบ้าน, ห้องนอน, เตียงนอน, ห้องทำงาน, ห้องอ่านหนังสือ เพื่อให้บริเวณเหล่านี้ รับพลังชี่ที่ดีจากธรรมชาติ และส่งเสริมให้บุคคลในบ้านได้รับความรุ่งเรืองได้

เช่นเดียวกัน เมื่อรู้ว่า ตำแหน่งไหนภายในบ้านที่มีพลังชี่ที่ไม่ดีแฝงอยู่ จะได้เลี่ยงไม่ไปทำกิจกรรม ณ บริเวณนั้น เพื่อจะได้ไม่รับพลังร้าย

ดังนั้น หากการวัดองศาทิศทางบ้าน และ การกำหนดทิศหน้าหัน - ทิศหลังพิง ของบ้านไม่ถูกต้อง ก็มีผลทำให้พิจารณาตำแหน่งดี ร้าย ภายในบ้านผิดไปด้วย

ณ ปัจจุบันนี้ ยังคงมีการถกเถียงกันอยู่ถึงหลักการที่ถูกต้อง ในการกำหนดทิศหน้าหัน ซึ่งความแตกต่างในหลักการนี้ เกิดจากการ ซินแสแต่ละคนตีความจากตำราของอาจารย์เสิ่น และ จากกฏฮวงจุ้ย 30 ข้อ นั้นแตกต่างกัน ซึ่งจำแนกได้เป็น 6 หลักการสำคัญที่ยังถกเถียงกันอยู่คือ

  1. ใช้ทิศประตูบ้าน
    - เพราะตีความว่า "ความดี ความร้าย อยู่ที่ประตู" และ "ประตูเป็นปากทางเข้าของพลัง"
  2. ใช้เหม่งตึ๊ง (บริเวณที่มีพื้นที่โล่งที่สุด)
    - เพราะตีความว่า "พื้นที่โล่ง จะเป็นที่ที่พลังมาสะสมอยู่"
  3. ใช้ทิศที่มีความเป็นหยางมากที่สุด (โล่ง, สว่าง, มีความเคลื่อนไหว มากที่สุด)
    - เพราะตีความว่า "ทิศที่มีความเป็นหยางมากที่สุดคือทิศหน้าหัน เป็นทิศกระทำการ ก่อให้เกิดการหมุนเวียนของพลังชี่หนึ่งๆขึ้น และทิศตรงกันข้ามเป็นทิศหยิน จะเป็นทิศหลังพิง"
  4. ใช้ทิศที่มีถนนใหญ่ที่สุด
    - เพราะตีความว่า "เป็นทิศทางหลัก ที่มีพลังชี่จำนวนมากวิ่งผ่าน"
  5. ใช้ทิศที่สว่างที่สุด คือ เน้นที่ความสว่างเป็นหลัก
    - เพราะตีความว่า "สว่างเป็นหยาง ทิศที่มีแสงจึงเป็นทิศหน้าหัน"
  6. ใช้หลักชัยภูมิ เสือขาว มังกรเขียว เต่าดำ หงส์แดง เป็นตัวกำหนด


    ทั้งหมดนี้ ซินแสแต่ละท่านก็เชื่อในการวิเคราะห์ และผลการพิสูจน์ของตนเอง จึงถกเถียงกันไม่สิ้นสุด

    ผมได้วิเคราะห์ และ ชี้แจง ด้านบวก และ ด้านลบ ของแต่ละหลักการให้กับลูกศิษย์ทุกคน ที่มาศึกษาวิชาฮวงจุ้ยกับผม ได้เข้าใจถึงแนวคิด ของทั้ง 6 หลักการอย่างลึกซึ้ง แม้ว่าตัวผมเองจะเชื่อมั่นในหลักการหนึ่งๆ แต่ก็ไม่ปิดกั้นความคิดเห็นของลูกศิษย์ และไม่โน้มน้าวให้ต้องเชื่อในหลักการที่ผมใช้เป็นเกณฑ์อยู่ เพราะผมเชื่อว่า ในที่สุดแล้ว หากวิธีการใดๆ หรือหลักการใดๆ ที่นำมาใช้ แล้วได้ผลดี ล้วนแล้วแต่ต้องมีรากฐานที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งอาจยังไม่สามารถสรุปเป็นคำพูด หรือ ถ้อยความที่เฉพาะเจาะจงได้

    สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาด้านฮวงจุ้ยอย่างจริงจัง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง โดยศึกษาหลักวิชาฮวงจุ้ยทั้งหมด ได้ในเวลาไม่เกิน 3 เดือน สามารถติดตามรายละเอียดการเรียนการสอนได้ที่ www.fs168.net


ที่มา: อาจารย์กิตติภพ ภักดียิ่งยง http://www.fs168.net/

ตี่จู้เอี๊ย (ตอนที่ 1)


ตี่จู้เอี๊ย หมายถึงศาลเจ้าที่จีน เป็นตำแหน่งของเทพเจ้าที่ทำหน้าที่ดูแลคุ้มครองให้คนในบ้านอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และพิทักษ์ไม่ให้มีภูตผีปีศาจวิญญาณร้ายเข้าบ้าน ตำแหน่งตั้งตี่จู้เอี๊ยให้ตั้งในบ้าน หันไปหน้าบ้าน ตรงกับประตู เพื่อให้เจ้าที่ได้มองเห็นคนเดินเข้าออก

วัสดุทำศาลเจ้า..
ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ารูปแบบของตี่จู้เอี๊ยมีการพัฒนาให้มีความสวยงามเหมาะสมกับรูปทรงบ้านที่ทันสมัยมากขึ้น โดยที่ไม่เสียคุณค่าของศาลเจ้าที่แต่อย่างไร สมัยก่อนวัสดุที่ใช้ทำศาลเจ้าคือไม้ทาสีแดงเพื่อสื่อให้เห็นถึงความหมายมงคล ละแสดงถึงพลังปราณหยางรุ่งเรือง ต่อมาวัสดุคนเริ่มนิยมตี่จู้เอี๊ยที่ทำจาก “หินอ่อน” มาขึ้น เพราะเนื้อหินอ่อนมีลวดลายสวบงาม มีความภูมิฐานเหมาะสมกับบ้านยุคใหม่
สาเหตุที่คนเริ่มนิยมตี่จู้เอี๊ยหินอ่อนมีดังนี้
- หินอ่อนเป็นธาตุดิน นับเป็นพลังธาตุรุ่งเรืองของยุค 8 ยิ่งถ้าศาลเจ้าเป็นสีแดง ยิ่งมีความเหมาะสมใช้งานได้ไปจนถึงยุค 9
- หินอ่อน มีความคงทน สวยงาม ตามลายเนื้อหินธรรมชาติ มีหลายสีให้เลือก ทำความสะอาดง่าย
- ดูสง่าภูมิฐานเหมาะสมกับบ้านทันสมัย

สำหรับตี่จู้เอี๊ยที่ทำจากไม้ ไม่ได้มีความแตกต่างไปหินอ่อน ทั้งนี้ขึ้นอยู่ความความต้องการของเจ้าของบ้านในการเลือกซื้อตี่จู้เอี๊ยให้เหมาะสมกับตัวบ้าน

การตั้งเจ้าที่ใหม่
การตั้งเจ้าที่ใหม่จะนิยมตั้งเมื่อย้ายเข้าบ้านใหม่ เจ้าของบ้านจะต้องซื้อตี่จู้เอี๊ยมาใหม่ หรืออีกกรณีคือตี่จู้เอี๊ยอันเดิมชำรุด เก่า แตกหัก จึงจะตั้งศาลใหม่แทนศาลเก่า ซึ่งจะต้องเตรียมของไหว้พระ เจ้าที่

  1. ฮวกก้วย 1 อัน ใช้กระดาษห่อขนมเป็นชนิดสีแดง
  2. น้ำชา 5 ถ้วย
  3. ของเจ 5 อย่าง ต้องแช่น้ำจนอิ่ม
  4. ผลไม้ 5 อย่าง เน้นเอาผลไม้ที่ไส้ไม่กลวง
  5. อี๊แดง 5 ถ้วย
  6. ขนมจันอับ

    - ให้ตั้งของไหว้ดังภาพ ในวันแรกที่ตั้งตี่จู้เอี๊ยจะไม่ไหว้กระดาษเงิน-ทอง





- ส่วน กรณีบ้านเดิมที่ต้องการแค่เปลี่ยนตี่จู้เอี๊ยใหม่ ก่อนจะทำพิธีให้จุดธูปบอกกล่าวกับเทพเจ้าตี่จู้เอี๊ยว่า เราจะอัญเชิญดวงจิตตี่จู้เอี๊ยออกจากศาลชั่วคราว เพื่อเปลี่ยนตี่จู้เอี๊ยใหม่ หลังจากที่อัญเชิญศาลเก่าออกตั้งศาลใหม่ จึงจัดวางของไห้วดังภาพ แล้วอัญเชิญตี่จู้เอี๊ยประทับที่ศาล

ที่มา: อาจารย์กิตติภพ ภักดียิ่งยง http://www.fs168.net/

ตี่จู้เอี๊ย (ตอนที่ 2)


ตี่จู้เอี๊ย หมายถึงศาลเจ้าที่จีน เป็นตำแหน่งของเทพเจ้าที่ทำหน้าที่ดูแลคุ้มครองให้คนในบ้านอยู่ร่มเย็นเป็นสุข และพิทักษ์ไม่ให้มีภูตผีปีศาจวิญญาณร้ายเข้าบ้าน ตำแหน่งตั้งตี่จู้เอี๊ยให้ตั้งในบ้าน หันไปหน้าบ้าน ตรงกับประตู เพื่อให้เจ้าที่ได้มองเห็นคนเดินเข้าออก
หากบ้านใครที่ยังเป็นครอบครัวใหญ่ จะสังเกตได้ว่าในบ้านจะมีผู้อาวุโสประจำบ้านนอกจากดูแลลูกหลานแล้ว ยังทำหน้าที่คอยดูแลระเบียบธรรมเนียมการปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักธรรมเนียม งานใดๆที่เกี่ยวข้องกับหลักศาสนาความเชื่อเช่น แต่งตัวไปศาลเจ้า คอยดูแลวันไหว้ ไปจับจ่ายซื้อของในวันสำคัญทางศาสนา ดูแลพิธีกรรมต่างๆ ท่านผู้ใหญ่เหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีความรู้ด้านประเพณีวัฒนธรรมที่สืบทอดต่อจากบรรพชนลงมา โดยส่วนใหญ่แล้วเวลาตั้งตี่จู้เอี๊ย ท่านผู้อาวุโสเหล่านี้จะเป็นผู้นำในการทำพิธีให้เจ้าของบ้านกล่าวคำอัญเชิญเทพเจ้าประทับที่ศาลเจ้า แต่บ้านบ้างหลังเจ้าของบ้านฝ่ายชายจะเป็นผู้ทำพิธีเองก็มี หรือบางครอบครัวจะไปเชิญซินแสมาเป็นผู้กล่าวนำในการทำพิธีให้กับเจ้าของบ้านอัญเชิญตี่จู้เอี๊ย

ตอนที่แล้วได้อธิบายขั้นตอนเบื้องต้นและการตระเตรียมของไหว้ตี่จู้เอี๊ยให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเริ่มต้นทำพิธีตั้งตี่จู้เอี๊ย เจ้าของบ้านควรจะจัดของใช้สำหรับศาลเจ้าให้เรียบร้อย เช็คทำความสะอาด ศาล แจกัน กระถางธูป ขี้เถ้า เมล็ดธัญพืช ธูปเทียน โดยจัดวางศาลเจ้าเข้าที่พอควร ครั้นถึงวันที่มีฤกษ์งามยามดีมีขั้นตอนดังนี้
- หากที่บ้านมีห้องพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆอยู่ เจ้าของบ้านควรจุดธูปบอกกล่าวขอความเป็นสวัสดิมงคลก่อน
- จากนั้นให้จัดของไหว้ดังที่ได้กล่าวไว้คราวที่แล้ว เจ้าของบ้านฝ่ายชาย ไปขยับศาลเจ้าให้เข้าที่ ตั้งแจกันที่ใส่ไม้มงคลอาทิ ไผ่กวนอิม
- เจ้าของบ้าน ช่วยกันจัดกระถางธูป เทขี้เถ้า วางถ้วยน้ำชา หรือมีบ้างที่ใช้กิ่งทับทิมจุ่มน้ำมนต์ประพรมศาลเจ้าพอเป็นพิธี แล้วใช้กระดาษทองซับก่อนจะขยับศาลเจ้าให้เข้าที่
- หลังจากที่จัดวางของไหว้เรียบร้อยแล้ว ซินแสผู้ทำหน้าที่อัญเชิญหรือเจ้าของบ้านฝ่ายชายก็ได้ จะทำหน้าที่ประกาศบอกให้ทุกคนในครอบครัวรับทราบว่า วันนี้จะทำการอัญเชิญตี่จู้เอี๊ย ให้มาสถิตย์ที่ศาลเจ้า เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลกับครอบครัว จากนั้นเจ้าบ้านจุดธูปเทียน กล่าวคำอธิษฐานว่า

“ ข้าพเจ้าชื่อ ... นามสกุล... พร้อมครอบครัว ได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ขอให้สวรรค์ได้ส่งดวงวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่มีบารมีมาสถิตย์เป็นเจ้าที่ เพื่อคอยปกปักษ์รักษาให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข”

หลังจากเสร็จพิธีในการตั้ง ก็ให้ลาของไหว้ นำของเจที่ประกอบด้วย วุ้นเส้น หน่อไม้จีน เห็ดหอม เห็ดหูหนู ฟองเต้าหู้ ไปทำกับข้าว ส่วนของไหว้ก็แจกจ่ายกันไปตามควร ตามประเพณีถือกันว่า ช่วงเช้าในการทำพิธีตั้งตี่จู้เอี๊ย คนในบ้านจะรับประทานอาหารเจเพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคล
ส่วนสัตว์มงคลที่นิยมวางไว้ที่ตี่จู้เอี๊ย ส่วนใหญ่เป็นสิงโตหยกขนาดเล็กที่ติดมากับศาลเจ้า บางคนนิยมตั้งคางกค 3 ขา แต่ต้องระวังอย่าให้คางคก 3 ขาหันออกหน้าบ้าน ในวันแรกของการตั้งตี่จู้เอี๊ยควรจะไหว้ด้วยธูปเทียนจริง เดี๊ยวนี้มีธูปไร้ควันให้เลือกใช้ ซึ่งสามารถตัดปัญหาเรื่องควันในห้องแอร์ไปได้

ข้อสำคัญอีกประการ...
ด้านหน้าตี่จู้เอี๊ย ห้ามวางของเกะกะรกสกปรก ยิ่งโดยเฉพาะร้านค้า จะต้องดูแลให้บริเวณด้านหน้าตี่จู้เอี๊ยสะอาด



ที่มา: อาจารย์กิตติภพ ภักดียิ่งยง http://www.fs168.net/

ปี่เซียะ สัตว์เลี้ยงนำโชค



ปี่เซียะ หรือ ผีซิว (สำเนียงจีนกลาง) เป็นสัตว์ป่าที่มีรูปร่างคล้ายกับหมี เป็นสัตว์ผสมระหว่างตัวกวาง หางแมว เล็บสิงโต ปีกนก เขากิเลน มีนิสัยห้าวหาญ เปิดเผย ตรงไปตรงมา จงรักภักดีและซื่อสัตย์ต่อเจ้าของ ให้คุณกับผู้บูชาทุกอาชีพถ้วนหน้า ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง มีลักษณะห้าวหาญ เปิดเผย ตรงไปตรงมา และดุดัน จึงมีการเปรียบเปรยกันว่า ปี่เซียะคือ ทหารหาญที่ห้าวหาญ สามารถขจัดอสูรร้ายต่างๆ ได้ ด้วยลักษณะนี้เองจึงนิยมตั้งรูปปั้นปี่เซียะเพื่อสลายพลังปราณหยิน และอสูรร้ายต่างๆ (รวมทั้งให้โชคลาภ) ปี่เซียะจะมีข้อแตกต่างกับกิเลนตรงที่ ปี่เซียะไม่สนใจว่าคนไหนจะดีหรือร้าย ฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าที่ทำกิจการ การค้าที่ถูกกฎหมาย หรือร้านค้าสถานบันเทิงเริงรมย์์ บ่อนการพนัน ไนท์คลับ ก็สามารถตั้งรูปปั้นปี่เซียะ เพื่อให้โชคลาภได้เช่นกัน



ปี่เซียะ มีลักษณะ 8 ประการ คือ


  1. อ้าปากรับทรัพย์

  2. หางยาวกวักโชคลาภ

  3. ยกหัวข่มศัตรู คู่แข่ง

  4. เท้าตะปบเงิน (หาเงินเก่ง รักษาทรัพย์ให้งอกงาม)

  5. ก้าวขา - ก้าวหน้า

  6. ลิ้นยาว ตวัดโชคลาภ เงินทอง

  7. องอาจ น่าเกรงขาม

  8. ไม่มีรูทวาร เงินทองเข้าอย่างเดียว ไม่ไหลออก

ความแปลกพิสดาร คือ กินมาก แต่ไม่มีรูทวารขับถ่าย จะระบายออกทางรูขุมขนเพียงเล็กน้อย มีบั้นท้ายใหญ่ สามารถกักเก็บอาหารได้มาก เปรียบเสมือน เมื่อเงินทองเข้ามามาก จะจ่ายออกเพียงเล็กน้อย เมื่อบูชาแล้ว


  • ทรัพย์มีแต่เข้า ไม่มีออก

  • ขจัดอาถรรพ์ กำจัดปีศาจ และป้องกันสิ่งชั่วร้าย

  • การค้าก้าวหน้า ธุรกิจร่ำรวย รายได้ดี

  • โชคดี มีโชคลาภ เงินทอง

  • สุขภาพร่างกายแข็งแรง

  • นำมาซึ่งเกียรติยศ ชื่อเสียง

  • ครอบครัวมีแต่ความสุข


วิธีเลือกปี่เซียะ


  1. กรณีบูชาปี่เซียะ 1 ตัว ควรเป็นปี่เซียะที่มีขาหน้าซ้าย-ขวายื่นมาเท่ากัน

  2. กรณีที่บูชาปี่เซียะ เป็นคู่ ควรเลือกปี่เซียะเพศชาย-หญิง โดยสังเกตจาก เพศหญิงจะยื่นขาขวามาข้างหน้า เพศชายจะยื่นขาซ้ายมาข้างหน้า วิธีการตั้ง ให้ตั้งเพศชายอยู่ทางซ้ายและหันหน้าออกทางประตูเพื่อหาทรัพย์ ส่วนเพศหญิงตั้งอยู่ด้านขวามือให้ก้นชิดเพศชาย และตั้งเป็นลักษณะตัว V

  3. วางน้ำสะอาดตัวละ 1 แก้ว เปลี่ยนน้ำใหม่ทุกวัน



เคล็ดลับบูชาปี่เซียะ



  1. ควรมีจิตใจแจ่มใสร่าเริง เพราะจะส่งผลให้ปี่เซียะมีพลัง แกร่งกล้า และคึกคะนอง เข้าทำนอง ส่งผลให้โชคมาเงินมี

  2. เจ้าของควรเอาใจใส่ด้วยวิธีทำความสะอาดพูดคุยด้วยบ่อยๆ ลูบหัวและลูบบั้นท้ายคล้ายสัตว์เลี้ยง

  3. การอธิฐานนั้น ให้ใช้มือลูบเป็นสื่อในการสื่อสารกับปี่เซียะ หากตั้งไว้เฉยๆ จะได้ประโยชน์น้อย






ที่มา: อาจารย์กิตติภพ ภักดียิ่งยง http://www.fs168.net/